คำนามในภาษาอังกฤษ (Singular and Plural Nouns)
คำนามในภาษาอังกฤษ เป็นคำที่มีความสำคัญในประโยคการสนทนา และการเขียน เพราะเป็นกลุ่มคำหลัก ๆ ที่จะใช้ในการสื่อความหมายให้เกิดความเข้าใจตรงกันในการสื่อสารอย่างแท้จริง
คำนามในภาษาอังกฤษ จะเกี่ยวข้องกับการกล่าวถึงจำนวนหนึ่งอย่าง (Singular) หรือ จำนวนที่มากกว่าหนึ่งอย่าง (Plural) เช่น คน (People) สถานที่ (Places) สิ่งของ (Things) หรือ ความคิด (Ideas) เพราะการใช้คำนามต้องเลือกให้ถูกต้องตามลักษณะของประโยคในการสื่อสารด้วย
ในการแปลงลักษณะคำนาม (Nouns) จากจำนวนหนึ่งอย่าง เป็นจำนวนที่มากกว่าหนึ่งอย่างนั้นก็มีกฎเกณฑ์มาตรฐานที่ควรเข้าใจ เพื่อให้การสื่อสารการพูดและการเขียนมีความถูกต้อง เพื่อให้การเรียนภาษาอังกฤษมีทักษะที่ดีขึ้นในการเลือกใช้คำนามให้ถูกต้องลักษณะของประโยคที่ต้องการสื่อสาร
การใช้คำนาม
การใช้คำนาม สามารถใช้เป็นประธานของประโยค (Subject) หรือ กรรม (Object) ของประโยคได้
ยกตัวอย่างคำนาม
cat-แมว
book-หนังสือ
house-บ้าน
idea-ความคิด
city-เมือง
person-บุคคล
เป็นต้น
ชนิดของคำนาม
- Common Nouns ทั่วไปแล้วจะหมายถึง อะไรทั่วไป เช่น คน (People) สถานที่ (Places) หรือ สิ่งของ (Things)
ตัวอย่าง The city is crowded with people.
- Proper Nouns จะหมายถึง การระบุชื่อของ คน สถานที่ หรือ สิ่งของ เป็นคำนามที่เขียนขึ้นต้นคำด้วยตัวอักษรตัวใหญ่
ตัวอย่าง I visited Thailand last winter.
- Concrete Nouns เป็นคำนามธรรม เช่น การสัมผัส รสชาติ การได้ยิน หรือ กลิ่น
ตัวอย่าง The lemon tastes sour.
- Abstract Nouns เป็นคำนามที่ไม่สามารถรับรู้ ด้วยการ สัมผัส การได้ยิน หรือการได้กลิ่น เหล่านี้จะอยู่ในรูปแบบของแนวความคิด ความรู้สึก หรือ มโนภาพ ความคิดเห็น
ตัวอย่าง Love is beautiful thing.
- Collective Nouns คำนามรวม ที่หมายถึงกลุ่มของผู้คน หรือ กลุ่มของสิ่งของ
ตัวอย่าง The team is practicing for the game.
- Countable Nouns คำนามนับได้
ตัวอย่าง There are three strawberry on the table.
- Uncountable Nouns คำนามนับไม่ได้
ตัวอย่าง I need some advice
คำนามเอกพจน์ หรือจำง่าย ๆ คือคำนามหนึ่งอย่าง (Singular nouns)
คำนามสำหรับบ่งบอกจำนวนเพียงอย่างเดียว เช่น คนเดียว สถานที่เดียว สิ่งเดียว หรือ แนวความคิดเดียว ตรงข้ามกับคำนามพหูพจน์
คำนามเอกพจน์ หรือ คำนามหนึ่งอย่าง เป็นส่วนประกอบสำคัญของประโยค และใช้ในหลายบริบท ประกอบด้วย การเขียน การพูด และการอ่าน
ตัวอย่างของคำนามเอกพจน์ หรือคำนามจำนวนเดียว
Book,A bound collection of pages
Chair,A piece of furniture for sitting
Dog,A domesticated carnivorous mammal
House,A building for human habitation
จากรูปแบบข้างต้น คำนามสามารถอ้างถึงสิ่งของที่กว้างมากขึ้นจากลักษณะทางกายภาพ เช่น หนังสือ เก้าอี้ สิ่งมีชีวิต เช่น สุนัข และ มนุษย์
สิ่งที่ต้องจำอย่างหนึ่งคือ คำนามบางคำ สามารถเป็นได้ทั้งคำนามจำนวนหนึ่ง หรือ คำนามพหูพจน์ (จำนวนมากกว่าหนึ่ง) ขึ้นอยู่กับการใช้งาน เช่น คำว่า “deer” คำนามเอกพจน์ จะหมายถึง สัตว์หนึ่งตัว แต่ ถ้าเป็นคำนามพหูพจน์ ก็หมายถึงสัตว์หลายตัวได้ อีกคำ “sheep” ก็มีความหมายถึงสัตว์หนึ่งตัว หรือ สัตว์หลายตัวได้ เช่นกัน
สรุป คำนามเอกพจน์ หรือคำนามที่มีจำนวนเป็นหนึ่งอย่าง เป็นหัวใจสำคัญในการเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อให้สามารถเลือกใช้คำได้อย่างถูกต้อง และจะช่วยให้การเขียน การพูด และการอ่าน พัฒนาได้ดีขึ้น
คำนามพนูพจน์ หรือ คำนามที่จำนวนมากกว่าหนึ่ง (Plural nouns)
คำนามพหูพจน์ (จำนวนมากกว่าหนึ่ง) หมายถึง จำนวนบุคคล สถานที่ สิ่งของ และแนวความคิด ที่มากกว่าหนึ่ง คำเหล่านี้เป็นส่วนประกอบสำคัญของไวยากรณ์ภาษาอังกฤษ การแสดงว่าคำนามนั้นมีจำนวนมากกว่าหนึ่ง จะใช้การเติมต่อท้ายคำนามเอกพจน์ด้วย -s หรือ -es และก็มีกฎอื่น ๆ นอกจาก -s และ -es ด้วย
ตัวอย่างคำนามพหูพจน์
Cat,Cats
Dog,Dogs
Book,Books
Child,Children
Tooth,Teeth
Man,Men
Woman,Women
Foot,Feet
Mouse,Mice
จากข้อความด้านบนจะมีคำนามบางคำที่ต่อท้ายคำนามเอกพจน์ด้วย -s หรือ -es ต่อท้าย และที่สำคัญต้องจำไว้ว่าคำนามพหูพจน์ (จำนวนมากกว่าหนึ่ง) อาจจะมีรูปแบบที่แตกต่างจากนี้ด้วย
คำนามพหูพจน์ (จำนวนมากกว่าหนึ่ง) เป็นคำในประโยคที่มีการใช้งานเยอะ มีความสำคัญทั้งในแง่การเขียนและการสนทนาพูดคุย การใช้คำได้ถูกต้องก็จะช่วยให้การพูดคุยมีความชัดเจนในเนื้อหามากยิ่งขึ้น
สรุป การใช้คำนามในประโยคต้องพิจารณาให้รอบคอบสำหรับการเลือกใช้ การสื่อสารจะได้ตรงวัตถุประสงค์และ การแปลงคำนามเอกพจน์ เป็น พหูพจน์ (จากของที่มีจำนวนอย่างเดียว เป็นสิ่งของที่มีจำนวนมากกว่าหนึ่ง) ก็มีเกณฑ์ในการแปลงหลายแบซึ่งต้องจดจำและนำไปใช้งานให้ถูกต้อง
มาดูกฎของการแปลงคำนามเอกพจน์ เป็นคำนามพหูพจน์
แปลงจากคำนามที่มีจำนวนหนึ่ง เป็นคำนามที่มีจำนวนมากกว่าหนึ่ง
- Regular Plurals
การแปลงปกติด้วยการเติม s ท้ายคำนามเอกพจน์ เช่น
Book,Books
Car,Cars
Dog,Dogs
House,Houses
Chair,Chairs - Irregular Plurals
กฎข้อนี้จะไม่เติม s ต่อท้ายคำ แต่จะเปลี่ยนรูปคำ เช่น
Child,Children
Foot,Feet
Tooth,Teeth - Plurals of Compound Words
Compound Words เป็นคำที่สร้างขึ้นมาจากคำมากกว่า 2 คำขึ้นไป
การแปลงเป็นพหูพจน์ หรือมีจำนวนมากกว่าหนึ่ง นอกจาก การใส่ -s หรือ เปลี่ยนตัวสะกด แล้วยังต้องดูตำแหน่งคำที่เปลี่ยนแปลงด้วย เช่น
Half-moon,Half-moons
Mother-in-low,Mothers-in-law
Passerby,Passersby
สรุป การเปลี่ยนคำเอกพจน์ เป็นพหูพจน์ ในแบบนี้ต้องพิจารณาให้เพราะจะมีความยากเพิ่มมากขึ้น
ข้อยกเว้นในการแปลงคำนามพหูพจน์จากคำนามเอกพจน์
(Exceptions in Plural Formation)
- คำนามที่ลงท้ายด้วย -f หรือ -fe ซึ่งปกติต้องเปลี่ยนเป็น -ves แต่มีบางคำที่ยกเว้น เช่น
roof,roofs
belief,beliefs
chief,chiefs
reef,reefs - คำนามที่ลงท้ายด้วย -o
ปกติจะต้องต่อท้ายด้วย -es แต่มีบางคำนามที่เติม -s เช่น
piano,pianos
photo,photos
halo,halos
zero,zeros - คำที่เปลี่ยนรูปคำศัพท์ เช่น
child,children
foot,feet
tooth,teeth
mouse,mice - คำนามเอกพจน์ และ คำนามพหูพจน์ เป็นคำเดียวกัน เช่น
deer
sheep
fish
aircraft
ข้อยกเว้นเหล่านี้จะดูสับสนใจตอนแรก แต่มันจะดีขึ้นหลงจากที่ได้ฝึกบ่อย ๆ
ตัวอย่างคำนามเอกพจน์ และคำนามพหูพจน์ ที่ใช้ในประโยค
ก่อนที่จะนำคำศัพท์มาใช้ในการพูดหรือการแต่งประโยคนั้นจะต้องดูว่าเราต้องการสื่อสารคำนามนั้นในรูปแบบจำนวนหนึ่งอย่าง หรือหลายอย่างเพื่อให้การสื่อสารมีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น เช่น
เอกพจน์ (Singular): The dog is barking.
พหูพจน์ (Plural) : The dogs are barking.
ในประโยคด้านบน เอกพจน์ (Singular) เป็นการสื่อสารการเห่าของสุนัขตัวเดียว แต่ ประโยคของ พหูพจน์ (Plural) เป็นการสื่อสารว่ามีสุนัขหลายตัวเห่า
นอกจากการเติม -s แล้วยังมีอีกหลายคำศัพท์ที่มีการเติมต่อท้ายคำศัพท์ที่แตกต่ากันออกไป เช่น -es หรือ -ies ดังตัวอย่างข้างล่าง
เอกพจน์ (Singular) : The box is heavy.
พหูพจน์ (Plural) : The boxes are heavy.
เอกพจน์ (Singular) : The baby is sleeping.
พหูพจน์ (Plural) : The babies is sleeping.
เอกพจน์ (Singular) : The city is big.
พหูพจน์ (Plural) : The cities are big.
จะสังเกตเห็นว่า box, baby และ city มีการต่อท้ายศัพท์ที่แตกต่างกันออกไป ซึ่งต้องฝึกการใช้คำในประโยคให้ถูกต้อง
อีกหนึ่งความสำคัญ คำนามที่เป็นอกพจน์ และ พหูพจน์ นั้นยังส่งผลต่อคำกิริยาในประโยคเปลี่ยนไปเพื่อให้สอดคล้องกับประธานในประโยคตามจำนวนของประธาน (หนึ่งอย่างหรือหลายอย่าง) เช่น
เอกพจน์ (Singular) : The boy runs fast.
พหูพจน์ (Plural) : The boys run fase.
เอกพจน์ (Singular) : The book is interesting.
พหูพจน์ (Plural) : The books are interesting.
สรุป การเข้าใจลักษณะของคำนามจำนวนอย่างเดียว (Singular) และ คำนามจำนวนหลายสิ่ง (Plural) นั้นส่งผลต่อการสื่อสารในภาษาอังกฤษ การเรียนรู้กฎการใช้งานให้ถูกต้อง ต้องอาศัยการฝึกฝนให้เกิดทักษะและความชำนาญ